เลือกร้านอาหารแบบไหนที่ตอบโจทย์กับทุกคนในแก๊งค์

ก่อนจะเลิกงานในแต่ละวัน หรือตกเย็นหลังเลิกเรียน สิ่งที่ต้องคิดกันทุกวันคือเย็นนี้กินอะไรกันดี บางคนก็ง่ายๆ ทางกลับบ้านก็แวะตลาดสักหน่อยแล้วก็เข้าไปซื้อแกงสักถุงข้าวสักถุงกลับมาอาบน้ำอาบท่าแล้วก็แกะข้าวกับแกงผสมรวมกัน ได้ชื่อใหม่ว่าข้าวราดด้วยแกง แล้วก็รับประทานให้อิ่ม ถ้ามีงานก็ทำงานอื่นต่อ สร้างรายได้เสริมเข้ากระเป๋า ประหยัดเงินไว้ผ่อนบ้าน ผ่อนรถสร้างอนาคตกันไป แต่ก็มีอีกหลายๆ คนที่คิดว่าเย็นนี้ไปหาอะไรกินอร่อยๆดีกว่า เหนื่อยมาทั้งอาทิตย์ ต้องหาอะไรมาช่วยดับความเหนื่อยล้าสักนิด
หนึ่งในนั้นก็จะต้องเป็น บุฟเฟ่ต์หมูกระทะ ไม่ก็ปิ้งย่าง หมูจุ่มหรืออะไรก็ตามแต่ที่จะชวนเพื่อนไปด้วยกันได้ แล้วปัจจุบันร้านเหล่านี้ก็มารวมกันอยู่ร้านเดียวกันอย่างมากมาย ก็เลือกร้านกันไป แล้วมีวิธีกาเลือกร้านแบบไหนกันบ้างที่จะตอบโจทย์ให้กับตัวเราเองมาที่สุด
5 วิธีเลือกร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ให้ถูกใจกับทุกคนในแก็งค์
1.ของเยอะ
เดี๋ยวนี้กาแข่งขันมีมากจนผู้บริโภคนั้นได้เปรียบ ด้วยการแข่งขันทางธุรกิจกันเอง ต้องทำทุกอย่างเพื่อเรียกลูกค้า เพิ่มยอดขาย และร้านบุฟเฟ่ต์ก็ต้องเพิ่มเมนูอาหารขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ต้องมีทุกอย่างให้ผู้บริโภคได้เลือกกันอย่างครบครัน ร้านลักษณะนี้คนกินก็จะต่างกันออกไป บางคนสายเนื้อก็ต้องมีเนื้อไว้บริการอย่างจุใจ สายทะเลก็ต้องมีของทะเลให้แบบไม่อั้น ร้านไหนของน้อยก็จะเสียเปรียบหน่อย และเราคือลูกค้าก็ต้องเลือกร้านที่ของเยอะไว้ก่อน ราคาไม่ได้หนีกันมากเรามีสิทธิ์เลือกก็ต้องจัดไปร้านไหนดัง ไหนร้านดี เป็นตัวเลือกแรกๆไว้ก่อน
2.ราคาไม่แพงจนรู้สึกว่าไม่คุ้ม
เมื่อมีร้านในใจไว้แล้วก็ต้องมาเปรียบเทียบราคาว่า คุ้มไหมถ้าเราจะเลือกร้านที่จะไป ของเยอะและสดตามคำบอกกันหรือเปล่า เดี๋ยวนี้รีวิวมีเยอะ เลือกดูจากคำบอกเล่าหรือถามจากคนรู้จักกันสักหน่อยก็ไม่ผิดแต่อย่างใดแล้วก็ตัดสินใจชวนกันไปทั้งแก๊งค์ได้เลย
3.จบในราคาเดียว
ถ้าเราลองเปรียบเทียบราคาแล้ว อย่าลืมมองในส่วนของราคานี้จบในครั้งเดียวหรือไม่ เพราะหลายๆ คนชอบที่จะกินน้ำและน้ำแข็งเยอะด้วย จุดนี้คือจุดบอดที่เรามักจะหลงลืมกันไป แล้วพอถึงเวลาที่ต้องจ่ายเงินทีหลังก็จะรู้สึกว่าเราแทบไม่ได้กินน้ำเลยแต่ทำไมต้องมาจ่ายค่าน้ำเยอะแบบนี้ เพื่อนเราต่างหากที่ต้องจ่ายเยอะเพราะค่าน้ำบางร้านก็แพงจนเกือบจะเท่ากับราคาบุฟเฟ่ต์แล้ว แต่ถ้าเราสามารถเลือกร้านที่จ่ายครั้งเดียวจบทุกอย่างแบบนี้ก็คงจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า ไม่ต้องมาค่อยพูดกันที่หลังว่าคนนั้นกินน้ำเยอะแพง หรือ เราไม่ได้กินน้ำเลยต้องจ่ายด้วยหรือ เรื่องเล็กๆ อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เช่นกัน
4.ไม่จำกัดเวลา
เวลา คือสิ่งที่ผ่านไปแล้วผ่านเลยไม่สามารถที่จะกลับมาใหม่ได้ และในเรื่องของการกินบุฟเฟ่ต์ก็เช่นกัน เวลาเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งถ้าเราไปกันหลายคนก็ยิ่งต้องมีเรื่องคุยกันยาวเป็นถนนตัดใหม่ คือคุยกันแบบไม่รู้จบ ถ้าได้ร้านที่ของเยอะ จ่ายครั้งเดียวจบแล้ว ก็ลองดูสักหน่อยจำกัดเวลาไหม หรือว่า เวลาที่ทางร้านตั้งไว้เหมาะสมกับที่เราจะไปหรือเปล่า บางร้าน ให้เวลาเพียง 90 นาที กับแก๊งเพื่อน 4-5 คน แค่คุยกันก็เป็นชั่วโมงแล้ว แทบจะยังไม่ได้กินไม่ได้ผ่อนคลายเลย เหมือนแค่กาไปกินข้าวแบบรีบเร่งเสียมากกว่า แบบนี้ก็ไม่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่เช่นกัน
5.นั่งสบายไม่กดดัน
เมื่อทุกอย่างที่ดูแล้วครบตามที่ต้องการ ก็มาดูว่าบางร้านของเยอะ ไม่จำกัดเวลาและจ่ายครั้งเดียวจบทั้งร้าน ก็ต้องดูว่าสถานที่นั่งแล้วสบายไหม บางร้านเล็กนิดเดียวแต่นั่งแล้วรู้สึกถึงความสบายเพราะไม่ต้องเดินวิ่งไปแย่งกันตักของอร่อย ของดีที่มีจำนวนจำกัด แต่ทางร้านบริการแบบไม่อั้น เราเลยไม่ต้องชะเง้อตารอคอยอาหารต้องไปแย่งกัน เพียงแต่นั่งคุยกันให้สนุกแล้วจะกินเมื่อไหร่ก็ได้ เก้าอี้นั่งแบบสบายตัว สถานที่คุยสนุก นั่งแล้วรู้สึกว่ามีความสนุก อาหารอร่อย ราคารับได้ นั่งได้นาน แบบนี้แหละที่ตอบโจทย์ที่สุด สถานที่เล็กใหญ่ก็เป็นส่วนหนึ่ง ถ้าใหญ่กว้างเกินไป ก็อาจจะดูเหมือนนั่งกินบะหมี่กลางสนามฟุตบอลแบบนี้ก็ทำให้เหงาเกินไปได้เหมือนกัน
ในหนึ่งวันเราต้องรับประทานอาหารอย่างน้อย 3 มื้อ นั้นก็บอกว่าเราสามารถที่จะมีความสุขอย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน เราเพิ่มความคิดเรื่องการกินเข้าไปในแต่ละวันสักเล็กน้อย เราก็จะมีความสุขเพิ่มขึ้น หลายคนใช้ร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์เพื่อเป็นการนัดหมายคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ได้เน้นเรื่องของการกินมากกินน้อยแต่อย่างใด แต่ร้านแบบนี้ก็คือการตอบโจทย์ให้กับยุคสมัยได้เป็นอย่างดี คนที่ชอบกินก็กินได้เต็มที่ สายคุยก็ได้เต็มที่ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ทำให้ทุกอย่างมีความสุขกันได้ทั่วถึง ทุกวันนี้ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์จึงเกิดขึ้นอย่างมากมายเพราะเข้าใจผู้บริโภคกันมากขึ้น